sale@onlinesoft.co.th
02-402-6117
,
081-359-6920
Menu
Home
Products
Sales Order - ระบบขาย
Purchase Order - ระบบจัดซื้อ
Accounts Receivable - ระบบบัญชีลูกหนี้
Accounts Payable - ระบบบัญชีเจ้าหนี้
Inventory Control - ระบบสินค้าคงเหลือ
General Ledger - ระบบบัญชีแยกประเภท
Financial Management - ระบบงบการเงิน
Budget Control - ระบบควบคุมงบประมาณ
Cheque and Bank - ระบบเช็คและธนาคาร
Import & Export - ระบบนำเข้าและส่งออกข้อมูล
Multi-Currency - ระบบอัตราแลกเปลี่ยนสกุล
Value Added Tax - ระบบภาษี
Audit & Internal Control - ระบบตรวจสอบและควบคุมภายใน
Fixed Assets - ระบบคำนวณค่าเสื่อมราคา
Payroll - ระบบคำนวณเงินเดือน
ESS ระบบลาออนไลน์
Services
จองอบรม Online
วีดีโอสอนการใช้งาน
คู่มือการใช้งาน
คำถามที่พบบ่อย FAQs
บริการ Maintenance
วิธีการชำระเงิน
Download Brochure
ข้อเสนอแนะโปรแกรม
Partners
โครงการ Partners สำนักงานบัญชี
ลูกค้าอ้างอิง
News
ข่าวสาร
บทความบัญชี
บทความบริหาร
About Us
เกี่ยวกับเรา
แนวคิดการบริหาร
Office Location
ร่วมงานกับเรา
นโยบายการรักษาข้อมูล
Contact Us
ทดลองใช้งาน
หน้าแรก
News
บทความบัญชี
ค่าใช้จ่าย (Expenses) ประเภทและความสำคัญ
ค่าใช้จ่าย (Expenses) ประเภทและความสำคัญ
ย้อนกลับ
หน้าแรก
News
บทความบัญชี
ค่าใช้จ่าย (Expenses) ประเภทและความสำคัญ
ค่าใช้จ่าย (Expenses) ประเภทและความสำคัญ
ย้อนกลับ
ค่าใช้จ่าย (Expenses)
เป็นคำที่ใช้ในด้านการเงินและการจัดการธุรกิจ หมายถึง ทรัพยากรทางการเงินหรือสินทรัพย์ที่ถูกใช้ไปเพื่อการดำเนินให้ได้มาซึ่งการผลิตสินค้า การให้บริการ หรือการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินกิจการให้เป็นไปอย่างราบรื่น ค่าใช้จ่ายมีบทบาทสำคัญในการบริหารจัดการทางการเงิน เนื่องจากช่วยสะท้อนถึงการใช้ทรัพยากรและแสดงถึงประสิทธิภาพในการดำเนินงาน
ประเภทของค่าใช้จ่าย
ค่าใช้จ่ายสามารถแบ่งออกได้หลากหลายประเภท ตามลักษณะและจุดประสงค์การใช้เงิน ได้แก่
1. ค่าใช้จ่ายประจำ (
Fixed Expenses)
เป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกเดือน และมักมีจำนวนเงินที่คงที่ที่ไม่เปลี่ยนแปลงตามปริมาณการใช้งานหรือการผลิต เช่น
•
ค่าเช่าสำนักงาน
•
เงินเดือนพนักงานประจำ
•
ค่าบริการอินเทอร์เน็ตหรือโทรศัพท์
•
ค่าสาธารณูปโภค
2. ค่าใช้จ่ายผันแปร (
Variable Expenses)
เป็นค่าใช้จ่ายที่เปลี่ยนแปลงตามการใช้งานหรือปริมาณการผลิต เช่น
•
ค่าวัตถุดิบ
•
ค่าขนส่งสินค้า
•
ค่าน้ำค่าไฟ
•
ค่าซื้ออาหาร
•
ค่าเดินทาง
•
ค่าแรงงานที่ขึ้นอยู่กับชั่วโมงทำงาน
3. ค่าใช้จ่ายทางการเงิน (
Financial Expenses)
เกี่ยวข้องกับการจัดหาเงินทุนและการบริหารหนี้ เช่น
•
ดอกเบี้ยเงินกู้
•
ค่าธรรมเนียมธนาคาร
4
.
ค่าใช้จ่ายลงทุน (
Capital Expenses)
เป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีมูลค่าและมีอายุการใช้งานนาน เช่น
•
การซื้อเครื่องจักร
•
การลงทุนในทรัพย์สินถาวร
5. ค่าใช้จ่ายที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานหลัก (
Non-operating Expenses)
เช่น
•
ค่าใช้จ่ายด้านภาษี
•
ค่าเสียหายจากความเสียหายที่เกิดขึ้น
6. ค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน (
Emergency Expenses)
เป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด เช่น
•
ค่ารักษาพยาบาล
•
ค่าซ่อมแซมรถยนต์
ความสำคัญของการบริหารค่าใช้จ่าย
การบริหารค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพช่วยให้เราสามารถควบคุมการเงินและเตรียมความพร้อมสำหรับเหตุการณ์ไม่คาดคิด การทำงบประมาณและบันทึกรายรับรายจ่ายช่วยให้เราเข้าใจพฤติกรรมการใช้จ่ายของตัวเองและสามารถปรับเปลี่ยนเพื่อลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น
156
ผู้เข้าชม
บทความที่เกี่ยวข้อง
3 วิธีการประหยัดภาษีแบบผิดๆ ที่ไม่ควรทำ
3 วิธีการประหยัดภาษีแบบผิดๆ ที่ไม่ควรทำ
หากเราเลือกวิธีการประหยัดภาษีต่างๆ ที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย อาจทำให้เกิดอันตรายต่อฐานะการเงินของเราได้ กรมสรรพากรจะตรวจสอบว่า วิธีการที่เราใช้นั้นมันผิดกฎหมายจนทำให้ชำระภาษีขาดไป อาจจะเป็นเรื่องใหญ่แน่
กรมสรรพากรมีอำนาจ ยึดทรัพย์ อายัดบัญชีธนาคาร ได้หรือไม่
กรมสรรพากรมีอำนาจ ยึดทรัพย์ อายัดบัญชีธนาคาร ได้หรือไม่
ตามมาตรา 12 แห่งประมวลรัษฎากร หากบุคคลใดมีภาษีอากรค้าง กรมสรรพากรสามารถยึดหรืออายัดทรัพย์และขายทอดตลาดได้เลยโดยยังไม่ต้องฟ้องต่อศาลก่อนก็ได้ และระยะเวลาที่มีอํานาจทําได้ก็เป็นเวลานานถึง 10 ปี
การควบคุมภายในเกี่ยวกับเจ้าหนี้การค้า
การควบคุมภายในเกี่ยวกับเจ้าหนี้การค้า
สมุห์บัญชีหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย จะต้องตรวจสอบอยู่เสมอว่า บัญชีย่อยเจ้าหนี้จะมียอดรวมตรงกับบัญชีคุมยอดเจ้าหนี้การค้า...
7 ทักษะ Soft skills ที่นักวิชาชีพตรวจสอบบัญชี (Auditor) ควรมี
7 ทักษะ Soft skills ที่นักวิชาชีพตรวจสอบบัญชี (Auditor) ควรมี
เราไปดูกันว่า 7 ทักษะ Soft skills ที่นักวิชาชีพตรวจสอบบัญชี (Auditor) ควรมีนั้น มีอะไรบ้าง
กฎหมายที่นักบัญชีควรรู้
กฎหมายที่นักบัญชีควรรู้
ใครที่เป็นนักบัญชีคงรู้ว่า ในหน้าที่การงานที่เกี่ยวกับบัญชีที่ตนรับผิดชอบอยู่นั้นจะพบว่าต้องเกี่ยวข้องกับกฎหมายหลายๆฉบับอย่างไม่น่าเชื่อ ที่ใกล้ตัวที่สุดน่าจะเป็น (๑) ประมวลรัษฎากร กฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากร ตามมาด้วย (๒) ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยเฉพาะในบรรพ 3 ในหมวดว่าด้วย “บริษัท” (๓) พระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543 (๔) พระราชบัญญัติวิชาชีพบัญชี พ.ศ. 2547 (๕) พระราชบัญญัติประกันสังคม และ (๖) พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ที่เรียกกันสั้นๆว่ากฎหมายแรงงาน)
การวางแผนภาษีอย่างไร ให้ธุรกิจยั่งยืน
การวางแผนภาษีอย่างไร ให้ธุรกิจยั่งยืน
การวางแผนภาษีอากร (Tax Planning) คือ การกำหนดแนวทางการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม เพื่อการปฏิบัติในอนาคตเกี่ยวกับรายการทางการเงิน (Financial Transactions) อาทิ รายการรายได้ ค่าใช้จ่ายต่างๆ และจำนวนกำไรหรือขาดทุน ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นทางภาษีอากรทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ในอันที่จะป้องกันมิให้เกิดปัญหาภาษีอากรไม่ว่าประการใดๆ โดยมุ่งหมายให้การเสียภาษีอากรและการปฏิบัติการเกี่ยวกับภาษีอากรขององค์กรเป็นไปโดยถูกต้อง และครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กฎหมายภาษีอากรกำหนดไว้ และเป็นผลให้จำนวนภาษีอากรที่ต้องเสียนั้น เป็นจำนวนน้อยที่สุดหรือประหยัดที่สุด รวมทั้งใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอากรสูงสุด ทั้งนี้ โดยไม่อาศัยการทุจริตหลีกเลี่ยงภาษีอากร
สร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปฟรี
By SoGoodWeb.com