ผู้ประกอบการทำบัญชีเองได้มั้ย ?

ผู้ประกอบการทำบัญชีเองได้มั้ย ?

มีผู้ประกอบการหลายท่านที่ทำเอกสารต่างๆเอง ยื่นภาษีเอง มีความรู้ทางด้านภาษีเป็นอย่างดี และไม่อยากเสียเงินจ้างนักบัญชี และก็มีคำถามมาตลอดว่าสามารถทำบัญชีเองได้รึป่าว วันนี้แอดเลยสรุปให้ง่ายๆฉบับนักบัญชียุคใหม่

การที่ผู้ประกอบการใช้บริการโปรแกรมบัญชี ทำบัญชี/ออกเอกสาร/ซื้อ-ขาย/บันทึกรายการบัญชี/จำทำระบบบัญชีที่ดี หรือแม้กระทั่งดูสรุปข้อมูลต่างๆเองได้ ก็ยังจำเป็นที่จะต้องจ้างนักบัญชี หรือสำนักงานบัญชีในการตรวจสอบความถูฏต้อง ซึ่งการปิดงบนั้นจำเป็นต้องให้นักบัญชีที่รับทำบัญชี หรือสำนักงานบัญชีที่มีความหมายเชี่ยวชาญในการจัดการ เพราะตามระเบียบของกรมสรรพากรกำหนดให้นักบัญชีลงนามในการจัดทำรายงานเพื่อยื่นส่งภาษี ต้องแยกออกระหว่างผู้ทำบัญชีและผู้ทำเอกสารของบัญชี การออกเอกสารใบกำกับภาษี/ออกบิล/ใบเสร็จรับเงิน/จ่ายเงิน/เก็บเอกสาร/รวบรวมเอกสารต่างๆ/ยื่น ภพ.30 และภงด.ต่างๆ ผู้ประกอบการสามารถทำได้เองจบสาขาอะไรก็ทำได้  แต่งานบัญชี/ทำงบการเงินจำเป็นต้องเป็นผู้ทำบัญชีเท่านั้น

ผู้ทำบัญชีต้องมีคุณสมบัติดังนี้

  1. จลปริญญาหรืออนุปริญญาทางบัญชี
  2. เป็นสมาชิกสภาวิชาชีพ
  3. ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ทำบัญชีกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์
  4. อบรมความรู้ต่อเนื่องด้านวิชาชีพทุกๆปีไม่น้อยกว่า 12 ชั่วโมงต่อปี

ระดับอนุปริญญาหรือปวส.ทางด้านบัญชีรับทำบัญชีให้กับธุรกิจประเภท ก.ได้โดยจำกัดทะเบียนของกิจการไม่เกิน5 ล้านบาท สินทรัพย์และรายได้อย่างละไม่เกิน 30 ล้านบาท

หน้าที่ของผู้ทำบัญชี

  • จัดทำบัญชี

หน้าที่แรกเลย คือการจัดทำบัญชีทั้งจัดทำงบการเงินต่างๆ บัญชีรายรับ-รายจ่าย งบกำไรขาดทุนหรืออื่นๆมีหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้องรู้เรื่องการเงินในบริษัทนำข้อมูลทางบัญชีไปใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ เช่น วางแผนธุรกิจ วางแผนทางการตลาด และอื่นๆต่อไป

  • ยื่นแบบประจำเดือน/ประจำปี

การยื่นแบบประจำเดือน เช่น ภพ.30 ภงด.1 ภงด.51 ภงด.53 เงินสมทบประกันสังคม หรือแบบอื่นที่จำเป็นต้องยื่นให้กรมสรรพากรรวมถึงแบบประจำปี อย่างการจัดทำงบการเงินที่ต้องส่งให้กระทวงพาณิชย์ ภาษีหัก ณ ที่จ่าย ซึ่งจำเป็นต้องให้นักบัญชีลงนามในการจัดทำรายงานเพื่อยื่นส่งภาษี

  • ให้คำปรึกษาทางด้านบัญชี

ให้คำปรึกษา/ ให้คำแนะนำในการจัดการภาษีหรือคำแนะนำอื่นๆที่ทำให้บริษัทเสียค่าใช้จ่ายกับการจัดารด้านบัญชีและภาษีน้อยที่สุดเพราะในการจัดการบัญชีภาษี มีเรื่องของกฎหมายเข้ามาด้วย


ที่มา : เกร็ดความรู้กับธรรมนิติ 

 1484
ผู้เข้าชม

บทความที่เกี่ยวข้อง

ใบสั่งขาย (Sale Order)หมายถึง การบันทึกรายการสั่งขายสินค้าหรือบริการ เพื่อเป็นการยืนยันการซื้อสินค้าของลูกค้า เริ่มจากเมื่อลูกค้ามีความต้องการสั่งซื้อสินค้า ฝ่ายขายจะตรวจสอบข้อมูลต่างๆ เช่น จำนวนสินค้าคงเหลือ จำนวนสินค้ากำลังผลิต จำนวนสินค้าที่ถูกจอง หรือข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้า เช่น ประวัติการชำระเงิน หรือวงเงินเครดิต เพื่อยืนยันว่าสามารถขายสินค้าให้กับลูกค้ารายนี้ได้หรือไม่ เมื่อมีการตกลงการซื้อขาย ฝ่ายขายจะเริ่มสร้างคำสั่งขาย หากมีสินค้าอยู่ในคลังแล้ว ระบบจะเข้าไปจองสินค้าให้ แต่ถ้าสินค้าไม่พอระบบจะใช้เป็นข้อมูลสำหรับการวางแผนการสั่งซื้อหรือผลิตต่อไป
การดำเนินธุรกิจใดก็ตามมีจุดประสงค์ร่วมกันอยู่หนึ่งอย่างคือ แสวงหากำไรหรือรายได้รายได้ให้ได้มากที่สุด ซึ่งแน่นอนว่าสินค้าก็เป็นส่วนประกอบหนึ่ง ในปัจจุบันผลผลิตของบริษัทแบ่งเป็นสองประเภทคือการขายสินค้าและการให้บริการ ซึ่งการบันทึกบัญชีเกี่ยวกับการจัดการสินค้าตั้งแต่การสั่งซื้อจนไปถึงการ ขายออกไปจำเป็นต้องอาศัยข้อสันนิษฐาน เพราะจำนวนสินค้าเข้าออกในแต่ละบริษัทมีจำนวนมาก และหากบันทึกสินค้าทุกชิ้นย่อมทำให้เกิดค่าใช้จ่ายสูง และประโยชน์ที่ได้รับก็อาจยังไม่คุ้มค่ากับผลที่ได้อีกด้วย
ในปัจจุบันเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทกับการทำงานในธุรกิจเป็นอย่างมาก และยังมีอิทธิพลต่อการดำเนินธุรกิจ ซึ่งการนำเทคโนโลยี เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้ดีมาก งานบัญชีถือเป็นส่วนสำคัญของธุรกิจ ที่มีบทบาทสำคัญที่ทำให้เจ้าของกิจการหรือผู้บริหารเห็นภาพรวมของธุรกิจ ชี้วัดสุขภาพทางการเงินขององค์กร ว่ามีกำไรขาดทุนมากน้อยเพียงใด ในยุคที่การตัดสินใจของลูกค้าที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว การทำบัญชีบนกระดาษที่ใช้เอกสารจำนวนมากอาจทำให้ไม่ทันความต้องการ การมีเครื่องมือในการทำบัญชีเป็นตัวช่วยให้งานบัญชี รวดเร็ว ถูกต้อง และมีประสิทธิภาพมาก
เมื่อธุรกิจขาดทุน สำหรับบุคคลธรรมดาจะต้องเสียภาษีขั้นต่ำอัตรา 0.5% ของเงินได้ ถ้าภาษีที่คำนวนได้ไม่ถึง 5,000 บาท ได้รับยกเว้นภาษีและผลขาดทุนสะสมไม่สามารถยกไปหักกับเงินได้ในปีถัดไป แต่สำหรับนิติบุคคลเมื่อขาดทุนจะไม่เสียภาษีและผลขาดทุนสามารถนำไปหักจากกำไรในปีอื่นได้ไม่เกิน 5 ปี
การจะเข้าสู่วงจรการทำธุรกิจ เราควรมีความเข้าใจเกี่ยวกับรูปแบบธุรกิจ “บุคคลธรรมดา” หรือ “นิติบุคคล” เพราะ 2 รูปแบบนี้มีความต่างกันทั้งในเรื่องข้อดี ข้อเสีย รวมถึงการจัดทำบัญชี และภาษี ที่ต้องดำเนินการให้ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งจะตัดสินใจเลือกดำเนินธุรกิจในรูปแบบใด ควรศึกษาข้อมูลเหล่านี้ให้ดีก่อน
เงินปันผล (dividend) เป็นค่าตอบแทนที่บริษัทจ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้น ซึ่งมักเป็นการกระจายกำไร เมื่อบริษัทได้กำไรหรือส่วนเกิน บริษัทสามารถนำไปลงทุนในธุรกิจต่อ (เรียก กำไรสะสม) หรือสามารถจ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้นก็ได้ บริษัทอาจสงวนกำไรหรือส่วนเกินส่วนหนึ่ง

สร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปฟรี ร้านค้าออนไลน์