วิธีจับสังเกตมิจฉาชีพและประกาศงานปลอม

วิธีจับสังเกตมิจฉาชีพและประกาศงานปลอม



ในยุคที่มิจฉาชีพพร้อมเข้าถึงคุณทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ ข้อความ SMS รวมถึงลิงก์ต่าง ๆ ตามเว็บบราวเซอร์ในอินเทอร์เน็ต เอาว่าแค่กด 1 ครั้งชีวิตก็เป็นหนี้ได้ จะเห็นว่ากลโกงต่าง ๆ ขยับเข้ามาอยู่รอบตัวเรามากขึ้น รันทุกวงการ ไม่เว้นแม้กระทั่งประกาศงานปลอม ทำอะไรก็ต้องระแวดระวังไปหมด อันไหนจริงอันไหนปลอม เราเองในฐานะผู้สมัครงานจำต้องมีสติและวิจารณญาณที่ดีอยู่เสมอ

5 วิธีจับสังเกตมิจฉาชีพและประกาศงานปลอม

ขอบคุณบทความจาก JobsDB ที่นำทริกเล็ก ๆ น้อย ๆ มาฝากกัน ดูไว้ให้รู้ อ่านไว้ให้เข้าใจจะได้เท่าทันมิจฉาชีพ แล้วลองไปจับสังเกตดูว่างานที่คุณกำลังจะสมัครนั้น มีแนวโน้มหรือมีความเสี่ยงเป็นประกาศงานปลอมหรือไม่ ซึ่งทั้ง 5 ข้อที่บทความนี้นำมาฝากกันนั้น เป็นเพียงความเสี่ยงที่อาจจะเป็นเท่านั้น จะใช่หรือไม่ใช่ก็ได้

1. บริษัทเป็นฝ่ายติดต่อมาเอง

ข้อนี้พูดในแง่ที่ตัวคุณเองไม่ได้ไปฝากโปรไฟล์หรืออัปเดตเรซูเมทิ้งไว้ในเว็บไซต์ไหน แต่ถ้าเพิ่งทำสิ่งเหล่านั้นไป การที่จะมีบริษัทติดต่อมานั้นไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด ให้ข้ามไปอ่านความเสี่ยงในข้อต่อไปได้เลย

ส่วนใครที่ไม่ได้อัปเดตอะไรไว้ แล้วจู่ ๆ มีองค์กรติดต่อมาแบบงง ๆ ตรงนี้อาจจะต้องสงสัยแบบเอะใจนิดหนึ่ง ว่าได้คอนแทคหรือข้อมูลส่วนตัวคุณมาจากที่ไหน ทำไมจู่ ๆ ถึงพุ่งเป้ามาที่เรา ตำแหน่งที่เขาติดต่อมาตรงกับสายงานที่คุณทำอยู่หรือสนใจไหม ซึ่งทั้งหมดนั้นแนะนำให้สอบถามกับคนที่ติดต่อมาได้เลย ถามแบบเจาะจงลงรายละเอียด ถ้าเขามีอาการอึกอัก ตอบคำถามเราแบบไม่สนิทใจ ให้ปักใจไปเลยว่ามิจฉาชีพ 

ทั้งนี้ไม่ต้องกลัวว่าถามเยอะแล้วจะดูไม่ดี เพราะถ้าเขาสนใจคุณจริง ๆ เป็นบริษัทจริงที่ไม่เลื่อนลอย คำถามทั้งหมดนั้นเป็นสิ่งที่ตอบได้อยู่แล้ว เว้นแต่ว่าจะประกาศงานปลอม หาคนทำงานไม่ตรงกับ Job description

2. ลักษณะภาษาที่ใช้ ไม่เป็นทางการ

ในแง่ของการทำงาน ไม่ใช่องค์กรเลือกคนทำงานเท่านั้น คนทำงานก็เลือกองค์กรไม่ต่างกัน ปราการด่านแรกของการสมัครงานคือการเขียนประกาศหางาน รายละเอียดของ Job description ฐานเงินเดือน Benefit ต่าง ๆ ของตำแหน่งที่ประกาศรับสมัคร HR จำเป็นต้องบอกให้ชัดเจน 

หากบริษัทไหนลงรายละเอียดกว้าง ๆ ใช้ภาษาไม่ทางการ อ่านแล้วไม่เข้าใจ หรือเขียนแบบไม่ลงดีเทล ก็ให้เอะใจไว้ก่อน เพราะนอกจากจะดูไม่น่าเชื่อถือแล้ว ยังดูเหมือนไม่ให้เกียรติคนทำงานด้วยเช่นกัน เป็นเรื่องที่มองผิวเผินอาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่สิ่งเล็ก ๆ เหล่านี้แสดงถือความน่าเชื่อถือขององค์กรได้

3. ไม่มีข้อมูลหรือที่ตั้งบริษัทที่ชัดเจน

อีกหนึ่งสิ่งที่อยากให้ผู้สมัครงานดูด้วยว่า องค์กรที่คุณเลือกสมัครไปหรือติดต่อมานั้น อยู่ในทำเลไหน มีที่ตั้งหรือออฟฟิศอยู่จริงไหม ถ้าไม่มีเป็นหลักแหล่งเพราะเน้นการ Work From Home หรือ Work From Anywhere เป็นหลัก ด้วยเหตุผลนี้ในยุคนี้ก็พอเข้าใจได้ แต่ควรเช็กดูว่าจดแจ้งเป็นบริษัทจริงหรือไม่ ดูภาพรวมและลักษณะงานแล้วน่าเชื่อไหม 

แน่นอนว่าด้วยยุคเทคโนโลยีอยู่ที่ปลายนิ้วแบบนี้ ทุกอย่างสามารถตรวจสอบได้หมด เพียงแค่คุณใส่ใจและไม่เดินอยู่เส้นทางแห่งความประมาท อย่าปล่อยปละละเลยสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่จะนำไปสู่ความผิดพลาดครั้งใหญ่ได้ ทั้งนี้หากเช็กดูแล้วพบว่า องค์กรนี้ไม่มีที่ตั้งแล้วยังไม่จดทะเบียนบริษัทอีก ก็ให้ตีความว่าเข้าข่ายประกาศงานปลอม หรือมิจฉาชีพได้ 

4. ขอข้อมูลส่วนตัวมากเกินไป

จริงอยู่ที่การสมัครงานจำต้องบอกรายละเอียดข้อมูลส่วนตัว แต่การให้ Data เหล่านั้น ย่อมต้องมีขอบเขตเช่นเดียวกัน ข้อนี้เอาจริง ๆ อธิบายให้เห็นภาพค่อนข้างยาก เป็นคอมมอนเซนส์เฉพาะตัวของแต่ละคน แต่เชื่อว่าทุกคนจะรู้เองว่า คำถามบางอย่างไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องงาน ข้อมูลบางอย่างขอไปเพื่ออะไร ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อการทำงาน 

อะไรที่ “มากเกินไป” เชื่อว่าผู้สมัครงานทุกคนดูออก แต่อยู่ที่จะฉุกใจคิดไหม ซึ่งจริง ๆ ตรงนี้เป็นสิทธิ์ของเราที่จะตอบหรือไม่ตอบก็ได้ หรือสงสัยก็ให้ถามไปได้เลยว่า ข้อมูลดังกล่าวเป็นประโยชน์อย่างไรในการคัดเลือกผู้สมัคร เพราะบางครั้งมิจฉาชีพก็มาในคราบ HR ทำเป็นโทรมาสอบถามข้อมูล แล้วเอา Data ส่วนบุคคลไปขายต่อก็มี 

5. ให้จ่ายเงินค่าสมัครงาน

สี่ข้อด้านบน อาจจะยังเป็นสิ่งที่พอหลับหูหลับตาแบบไม่ชี้ชัดได้ แต่ถ้างานนั้นต้องเสียเงินค่าสมัครด้วย จุดนี้ถือว่ามีแนวโน้มสุดว่าจะเป็นประกาศงานปลอม หรือมิจฉาชีพเข้ามาหลอกเงิน เพราะอาชีพสุจริตส่วนใหญ่ที่เปิดรับกันปกติ แทบจะไม่ต้องเสียเงินในการสมัคร ไม่นับพวกข้าราชการหรือรัฐวิสาหกิจที่การแข่งขันสูง จนต้องเปิดสนามสอบกันครั้งละมาก ๆ เว้นแต่ว่างานที่คุณสมัครไปนั้น จะไม่ใช่สิ่งถูกกฏหมายตั้งแต่แรก อันนั้นถ้าจะต้องเสียเงินก็เป็นเรื่องปกติ

ดังนั้น ถ้ามีการเรียกเก็บเงิน แนะนำให้สอบถามให้ดีอย่างถี่ถ้วนว่าเหตุผลที่เขาให้มามันสมเหตุสมผลไหม หรือถ้าไม่อยากเสียเวลาก็ให้บอกผ่านได้เลย เท่าที่เห็นองค์กรใหญ่ ๆ ระดับประเทศ แทบจะไม่มีเรื่องเรียกเก็บเงินค่าสมัครเลย เน้นวัดกันที่ความสามารถล้วน ๆ อย่างการสอบแข่งขัน หรือสัมภาษณ์หลายรอบมากกว่า เรื่องเรียกเก็บเงินค่าสมัครแทบจะไม่มีเห็นเลย

ทั้งนี้หากคุณสงสัยว่าประกาศงานดังกล่าวนั้นไม่เป็นความจริง เข้าข่ายขบวนการมิจฉาชีพหรือไม่ สามารถสอบถาม ขอคำแนะนำหรือตรวจสอบองค์กรนั้น ๆ ได้ที่กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://www.doe.go.th หรือโทร.022479423

สามารถอ่านบทความน่าสนใจอื่นๆได้ ที่นี่ คลิ๊ก!!

 
ขอบคุณที่มา : JobsDB

 474
ผู้เข้าชม

บทความที่เกี่ยวข้อง

งานที่ปรึกษาทางธุรกิจ ไม่ใช่งานที่จะมีบรรจุเป็นหลักสูตรสาขาเหมือนสาขาบัญชี สาขาคอมพิวเตอร์ งานประเภทนี้จะต้องอาศัยความเชี่ยวชาญหลายๆด้านรวมกัน ดังนั้นทางเดินของสายอาชีพนี้ไม่อาจจะตายตัวได้ แต่อย่างไรก็ตามทุกอาชีพมีโอกาสเติบโต โดยส่วนใหญ่อาชีพนี้จะเริ่มจากการเป็นนักวิเคราะห์ ทำ Data Collection หรือ ทำ Research และ พัฒนากับทีมโปรแกรมเมอร์ ต่อมาอาจจะเป็น Consultant เพื่อหาแนวทางในการขับเคลื่อนองค์กรโดยรวม พร้อมทั้งสร้างโครงสร้างทีแข็งแกร่ง ส่วนขั้นตอนต่อๆไป คือ Senior Consultant เนื่องจากได้สะสมประสบการณ์มาแล้วได้เวลาเติบใหญ่เป็นหัวหน้าทีม จนสุดของเส้นทางคือเป็น Principal / Director นั่นเอง อาจต้องใช้เวลาซักนิดแต่ผลลัพธ์นั้นคุ้มค่าแรงกายแน่นอน ในบทความนี้จะพูดถึง คุณสมบัติของที่ปรึกษาทางธุรกิจ ที่ควรมีอะไรบ้าง
Consultant ( Business Consultant ) หรือ ที่ปรึกษาทางธุรกิจ คือการที่ให้คำปรึกษาต่อธุรกิจนั้นๆ เช่น การเพิ่มยอดขาย การทำกำไร ลดรายจ่าย รวมทั้งต้องวิเคราะห์หาวิธีการแก้ไขปัญหาต่างๆให้กับธุรกิจอีกด้วย โดยส่วนใหญ่แล้วมีเป้าหมายคือการที่ช่วยให้องค์กรพัฒนาไปในทางที่ดี ไปเติบโตเป็นธุรกิจที่มั่นคงและยั่งยืน
ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจก่อนว่าระบบบัญชีเงินเดือนคืออะไร ระบบจัดการบัญชีเงินเดือนเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการติดตามบันทึกทางการเงินของพนักงาน และดำเนินการตามขั้นตอนการบริหาร ไม่เพียงแต่ติดตามเงินเดือนของพนักงาน แต่ยังมีเรื่องของโบนัส การหักเงิน และสิ่งจูงใจที่ได้รับ
ผู้ประกันตนแต่ละมาตราที่ส่งเงินสมทบประกันสังคม สามารถคัดสำเนาการนำส่งเงินสมทบ เพื่อนำไปลดหย่อนภาษีประจำปีได้ โดยแต่ละมาตราจะลดหย่อนได้สูงสุดเท่าไหร่ เช็คได้ที่นี่เลย
“ลาป่วยกรณีไหนต้องใช้ใบรับรองแพทย์” เป็นอีกหนึ่งปัญหาคาใจชาวออฟฟิศไม่ว่าจะเป็นรุ่นเล็กหรือรุ่นใหญ่ก็ตาม เพราะไม่แน่ใจว่าลาป่วยแบบนี้ได้ไหม จะให้เอ่ยปากถามตรง ๆ ก็กลัวจะได้คำตอบว่ากฎระเบียบของบริษัทเป็นแบบนี้ ต้องปฏิบัติตาม แม้ว่าในใจจะแอบสงสัยอยู่ลึกๆ ว่า สวัสดิการวันลาที่บริษัทให้มันแฟร์กับพนักงานอย่างเรา ๆ หรือเปล่า? ถูกต้องตามกฎหมายแรงงานหรือไม่ ยิ่งในยุคแห่งโควิด-19 ที่วันลาป่วยต้องหายไปฮวบฮาบจนทำให้หลายคนวันลาป่วยแทบหมด ไม่เหลือให้ป่วยอะไรได้อีก เราเลยอยากชวนมาไขข้อข้องใจเรื่องสิทธิการลาป่วยที่มนุษย์ออฟฟิศอย่างเราควรได้กันดีกว่า
คนทำงานที่ออกจากงานแล้ว จะเกิดข้อสงสัยว่าต้องทำอย่างไรกับสิทธิประกันสังคมที่ตนเองมี ต้องส่งเงินเข้ากองทุนต่อหรือไม่ แล้วเราจะได้ใช้สิทธิอะไรบ้างเมื่อลาออกจากงาน ต้องยอมรับว่าคนทำงานที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับระบบประกันสังคม เพราะอยู่ในสถานะลูกจ้าง ต้องจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมทุกเดือน ๆ แต่มีน้อยคนที่จะรู้และเข้าใจอย่างจริงจังว่า เราสามารถใช้สิทธิอะไรได้บ้างจากประกันสังคม เมื่อเราลาออกจากงานแล้ว

สร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปฟรี ร้านค้าออนไลน์