การพัฒนาความรู้ต่อเนื่องทางวิชาชีพของผู้ทำบัญชี CPD

การพัฒนาความรู้ต่อเนื่องทางวิชาชีพของผู้ทำบัญชี CPD

ที่ต้องมีการฝึกอบรม ศึกษาเรียนรู้ต่างๆ ซึ่งการพัฒนาความรู้นี้ได้บรรจุลงบนระเบียบข้อบังคับของสภาวิชาชีพบัญชีเอาไว้ชัดเจน ซึ่งนักบัญชีควรปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด วิธีการนี้เรียกว่า  CPD ย่อมาจาก Continuing Professional Development หมายความว่า

การพัฒนาต่อเนื่องทางวิชาชีพ ซึ่งนักบัญชีต้องเข้ารับการอบรม CPD ให้ครบจำนวน ตามชั่วโมงที่กำหนดไว้

1. ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต ต้องเก็บชั่วโมง CPD 40 ชั่วโมงต่อปี โดยแบ่งเป็น

- ชั่วโมง CPD ที่เป็นทางการ 20 ชั่วโมงต่อปี ซึ่งต้องมีเนื้อหาเกี่ยวกับการบัญชีหรือการสอบบัญชีไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่ง

- ชั่วโมง CPD ที่ไม่เป็นทางการ 20 ชั่วโมงต่อปี และต้องยื่น CPD ภายในวันทำการสุดท้าย ของปี

2. ผู้ทำบัญชี ต้องเก็บชั่วโมง CPD 12 ชั่วโมงต่อปี เป็นวิชาเกี่ยวกับการบัญชีไม่น้อยกว่าครึ่งและต้องยื่นหลักฐานจำนวนชั่วโมง CPD ภายในวันที่ 30 มกราคม ของทุกปี

กิจกรรมการพัฒนาความรู้ต่อเนื่อง แบบเป็นทางการ ประกอบด้วย

1. การอบรมหรือสัมมนา รวมถึงการอบรมหรือสัมมนาในรูปแบบสื่อทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-learning

2. การเป็นวิทยากร ผู้บรรยาย ผู้ดำเนินการสัมมนา

3. การเป็นอาจารย์ในสถาบันการศึกษา ของรัฐ หรือสถาบันการศึกษาของเอกชน ซึ่งมีการสอนไม่ต่ำกว่าระดับอนุปริญญาหรือประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ทางการบัญชี หรือเทียบเท่า

4. การสำเร็จการศึกษาในคุณวุฒิที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพบัญชี ไม่ว่าคุณวุฒิใหม่นั้นจะสูงกว่าคุณวุฒิเดิมหรือไม่ก็ตาม

5. การผ่านการศึกษาเฉพาะรายวิชาที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพบัญชี จากสถาบันการศึกษาของรัฐ หรือสถาบันการศึกษาของเอกชน ซึ่งมีการสอนไม่ต่ำกว่าระดับอนุปริญญาหรือประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ทางการบัญชีหรือเทียบเท่า

6. จัดทำผลงานทางวิชาการเกี่ยวกับวิชาชีพบัญชี โดยได้เผยแพร่ต่อสาธารณชนผ่านทางที่ประชุมวิชาการ วารสารวิชาการ หรือในรูปแบบอื่นตามที่ได้รับความเห็นชอบจากสภาวิชาชีพบัญชี เช่น การเขียนบทความ งานวิจัย หนังสือ หรือตำราทางวิชาการ เป็นต้น

กิจกรรมการพัฒนาความรู้ต่อเนื่อง แบบไม่เป็นทางการ ประกอบด้วย

1. อบรมสัมมนา ความรู้ในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหรือวิชาชีพ

การนับชั่วโมง : นับได้ตามจำนวนชั่วโมงการเข้าอบรมหรือสัมมนาจริง

หลักฐาน : หนังสือรับรอง หรือหลักฐานอื่น ๆ

เช่น อบรมหลักสูตรการบริหารความเสี่ยงองค์กร จัดโดย ศูนย์บริการวิชาการและการศึกษาต่อเนื่อง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, อบรมหลักสูตรการบริหารผลงาน สู่ความเป็นเลิศ (In-house) จัดโดยศูนย์ฝึกอบรม The Best-Training

2. การรับฟังข่าวสารทางด้านวิชาการหรือวิชาชีพผ่านสื่อต่าง ๆ 

การนับชั่วโมง : นับได้ตามจริง แต่ไม่เกินสองชั่วโมงต่อครั้ง

หลักฐาน : หลักฐานการรับฟังหรือหลักฐานอื่น ๆ

เช่น ชมรายการคิดลึกคิดไกลไปกับหอการค้า ช่อง Nation TV, ฟังรายการกระแสเศรษฐกิจ ผ่านสถานีวิทยุแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

3. การอ่านวารสารวิชาการ หรือบทความต่างๆ

การนับชั่วโมง : นับได้ตามจริง แต่ไม่เกินสองชั่วโมงต่อหนึ่งหัวข้อ

หลักฐาน : หลักฐานการอ่าน หรือหลักฐานอื่นๆ

เช่น อ่าน FAP Newsletter เรื่อง นิติบัญชีศาสตร์ กับ M-Score ดัชนีชี้วัดความผิดปกติในงบการเงิน, อ่าน e-Book คู่มือแนะน าการชำระภาษีอากรกิจการจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง โดยกรมสรรพากร

4. เข้าร่วมประชุมหรืออภิปรายกลุ่ม

การนับชั่วโมง : นับได้ตามจำนวนชั่วโมง การเข้าร่วมประชุมหรืออภิปรายกลุ่มจริง

หลักฐาน : หลักฐานการเข้าร่วมการประชุม

เช่น เข้าร่วมประชุมคณะอนุกรรมการสาขาวิชาการบัญชี คณะกรรมการฝ่ายวิชาการและประกันคุณภาพการศึกษา สมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย, เข้าร่วมประชุมสมาชิกชมรมผู้ตรวจสอบภายในธนาคารและสถาบันการเงิน

5. การศึกษาดูงานหรือเยี่ยมชมการดำเนินงานของกิจการหรือหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ

การนับชั่วโมง : นับได้สามชั่วโมงต่อครั้ง

หลักฐาน : หลักฐานการดูงาน หรือหลักฐานอื่น ๆ

เช่น ศึกษาดูงานการจัดการคลังสินค้าและกระจายสินค้า ณ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน), ศึกษาดูงานกระบวนการผลิตน้ าตาลทราย ณ บริษัท วังขนาย จำกัด

6. วิทยากร ผู้บรรยาย ผู้ช่วยผู้บรรยายที่มีความรู้และประสบการณ์ในเรื่องนั้น

การนับชั่วโมง : ช่วงเวลาการเตรียมสื่อการสอนหรือการบรรยายนับได้สองเท่าของชั่วโมงบรรยายจริงและช่วงเวลาการบรรยายนับได้ตามชั่วโมงการบรรยายจริง

หลักฐาน : สื่อการสอนที่ใช้บรรยายและหลักฐานการเป็นวิทยากร ผู้บรรยายหรือผู้ช่วยบรรยาย

เช่น อาจารย์พิเศษ สอนวิชาการสอบบัญชี มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ประจำภาคการศึกษาที่ 2/2558, วิทยากรบรรยายหลักสูตร การเจรจาต่อรองเพื่อความสำเร็จ จัดโดย สถาบันที่ปรึกษาและพัฒนาธุรกิจ Step Plus Training

7. การสัมภาษณ์หรือสอบถามเพื่อประโยชน์ทางวิชาการและวิชาชีพ

การนับชั่วโมง : นับได้ตามจริง แต่ไม่เกินสองชั่วโมงต่อครั้ง

หลักฐาน : หลักฐานการสัมภาษณ์ หรือหลักฐานอื่น ๆ

เช่น สัมภาษณ์ผู้นำชุมชนและสมาชิกกลุ่มแม่บ้านทอผ้าด้วยมือชุมชนเปรมฤทัยเพื่อประเมินความรู้ความเข้าใจ ด้านการบัญชีของผู้นำชุมชนและสมาชิก และถ่ายทอดความรู้ทางด้านบัญชีให้แก่ผู้นำชุมชนและสมาชิก, เป็นผู้ดำเนินรายการโครงการเสวนาด้านการตรวจสอบภายใน หัวข้อ “ความท้าทายของผู้ตรวจสอบภายในต่อการสร้างมูลค่าเพิ่มในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน”

8. การเขียนวารสารวิชาการ หรือบทความต่าง ๆ เผยแพร่แก่สาธารณชน

การนับชั่วโมง : นับได้ตามจริง แต่ไม่เกินสามชั่วโมงต่อเรื่อง

หลักฐาน : ผลงานที่เผยแพร่ หรือหลักฐานอื่น ๆ

เช่น เขียนบทความวิชาการ เรื่อง การควบรวมกิจการ เผยแพร่ ในวารสาร

9. ชั่วโมง CPD ส่วนที่เกินจากแบบเป็นทางการ หากมีชั่วโมงส่วนเกินจากการพัฒนาความรู้แบบเป็นทางการ สามารถนำมานับรวมได้



สามารถอ่านบทความน่าสนใจอื่นๆได้ ที่นี่ คลิ๊ก!!


บทความโดย :  สำนักงานบัญชี พีทูพี p2paccounting
 858
ผู้เข้าชม

บทความที่เกี่ยวข้อง

ต้นทุนผันแปร และต้นทุนคงที่คำว่า “คงที่” (Fixed) และ “ผันแปร” (Variable) ใช้เพื่ออธิบายว่าต้นทุนจะผันแปรไปอย่างไร เมื่อกิจกรรมเปลี่ยนแปลงไปต้นทุนผันแปร  เป็นต้นทุนซึ่งมีจำนวนรวมที่ผันแปรไปเป็นสัดส่วนโดยตรงกับการเปลี่ยนแปลงของกิจกรรม ปริมาณกิจกรรมดังกล่าวได้แก่ หน่วยของสินค้าที่ผลิตขาย ชั่วโมงแรงงาน ชั่วโมงเครื่องจักร ตัวอย่างของต้นทุนผันแปร ได้แก่ วัตถุดิบทางตรง ค่าแรงงานทางตรง วัสดุสิ้นเปลือง เป็นต้น
ผู้มีหน้าที่เสียภาษีจากกำไรสุทธิ ต้องคำนวณกำไรสุทธิ จากรายได้จากกิจการ หรือเนื่องจาก กิจการที่กระทำในรอบระยะเวลาบัญชี หักด้วยรายจ่ายตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในมาตรา65 ทวิ และมาตรา 65 ตรี ซึ่งประมวลรัษฎากรได้กำหนดรอบระยะเวลาบัญชีหนึ่งๆ ไว้ดังนี้ 
การเริ่มต้นจัดทำบัญชีของห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน และบริษัทจำกัดนั้น จะต้องเริ่มจากตรงไหนก่อน และทำอะไรบ้าง เป็นคำถามที่หลายท่านสงสัย ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการ หรือแม้แต่กระทั่งนักบัญชีมือใหม่เอง
ตัวเลขหรือรหัสที่ใช้ในการจัดหมวดหมู่ผังบัญชีขององค์กร ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในการจัดการและควบคุมทางบัญชี โดยรหัสบัญชีนี้จะถูกนำมาใช้ในกระบวนการบันทึกบัญชีและการจัดทำรายงานทางการเงิน หรือที่เรียกว่า ระบบบัญชีแยกประเภท (General Ledger) เพื่อให้การบันทึกและการวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงินเป็นระเบียบช่วยให้สามารถตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงินได้อย่างเป็นระบบ และสามารถนำมาใช้อ้างอิงได้อย่างถูกต้อง
ส่วนลด (Discount) หมายถึง จำนวนเงินที่ผู้ขายยอมลดให้กับผู้ซื้อ ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดของผู้ขาย ในการจูงใจให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้า หรือจูงใจให้ผู้ซื้อสินค้าปริมาณมาก หรือเพื่อจูงใจให้ลูกค้าที่ซื้อสินค้าเป็นเงินเชื่อมาชำระหนี้เร็วขึ้นในการดำเนินธุรกิจซื้อ-ขายสินค้านั้น มักจะให้ส่วนลดแก่ผู้ซื้อใน 2 ลักษณะคือ

สร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปฟรี ร้านค้าออนไลน์