รวมสูตรทางบัญชี

รวมสูตรทางบัญชี



หากพิจารณาข้อมูลในงบการเงิน ไม่ว่าจะเป็นรายงาน งบดุล (Balance Sheet) หรือ งบกำไรขาดทุน (Income statement) จะพบว่าทั้งสองรายงานประกอบด้วยข้อมูลทางบัญชีจำนวนมาก ซึ่งในความเป็นจริงแล้วผู้ใช้ประโยชน์จากงบการเงิน เช่น ผู้ประกอบการ / เจ้าของกิจการ นักลงทุน หรือคู่ค้าทางธุรกิจ ไม่จำเป็นต้องใช้ทุกข้อมูลที่ปรากฏในรายงานทางบัญชี เนื่องจากมีวิธีการอ่านงบการเงินที่ง่าย โดยการเข้าใจสูตรบัญชีที่สำคัญ

สูตรการบัญชี ที่ใช้บ่อยที่สุด เพื่อเป็นประโยชน์ในการนำข้อมูลทางบัญชีไปวิเคราะห์ได้ง่ายยิ่งขึ้น จึง รวมสูดรบัญชี ดังนี้

1. สินทรัพย์ = หนี้สิน + ส่วนทุนของเจ้ากิจการ

สูตรดังกล่าวนี้เป็นสูตรพื้นฐานที่สำคัญในการอ่านหรือสร้างงบดุล(Balance Sheet) ที่ถูกต้อง โดยใช้เพื่อวิเคราะห์โครงสร้างทางการเงินของกิจการว่า สินทรัพย์ทั้งหมดของกิจการ เกิดจากเงินทุนของเจ้าของกิจการรวมจากการสร้างหนี้ เช่น การกู้ยืมธนาคาร เป็นจำนวนเท่าใด

ซึ่งหากส่วนทุนของเจ้าของกิจการมีค่าน้อยกว่าหนี้สิน ก็เป็นการบ่งบอกว่ากิจการดังกล่าวมีสภาพคล่องต่ำ โดยเราสามารถหามูลค่าของหนี้สินได้ด้วยการย้ายข้างสมการ เช่น หนี้สิน = สินทรัพย์ – ส่วนทุนของเจ้าของกิจการ เป็นต้น

2. กำไรสุทธิ = รายได้รวม – ค่าใช้จ่ายรวม

สูตรการคำนวณกำไรสุทธิ เป็นสูตรที่ใช้สำหรับงบกำไร/ขาดทุน(Income statement) ซึ่งกำไรสุทธิ สามารถคำนวณได้จากการนำรายได้รวมทั้งทางตรงและทางอ้อมของกิจการ นำมาหักลบด้วยค่าใช้จ่ายทั้งหมด อันประกอบด้วยต้นทุนของสินค้า ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการของกิจการทุกประเภท รวมทั้งภาษีจ่าย ได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นกำไรสุทธิ

ซึ่งกำไรสุทธิ เป็นตัวเลขบ่งบอกความสามารถในการดำเนินกิจการและการควบคุมค่าใช้จ่าย จนก่อให้เกิดเป็นดอกผลของกิจการที่เกิดขึ้นในรอบปีหรือรอบไตรมาสนั้นๆ ซึ่งบางครั้งก็อาจจะเป็น “ขาดทุนสุทธิ” ได้เช่นกัน

3. กำไรสะสมปลายปี = กำไรสะสมต้นปี + กำไรสุทธิ – เงินปันผลจ่าย

สูตรคำนวณกำไรสะสมปลายปี เป็นสูตรทางบัญชีเพื่อใช้จัดทำงบกำไรสะสม ซึ่งเป็นงบที่แสดงผลการดำเนินงานตั้งแต่เริ่มกิจการจนถึงงวดบัญชีปัจจุบัน ว่ากิจการมีกำไรสะสมเพิ่มขึ้นเท่าใด หรือหากขาดทุนสุทธิหรือมีการจ่ายเงินปันผลก็จะทำให้กำไรสะสมปลายปีลดลง

ซึ่งสูตรคำนวณกำไรสะสมปลายปี เกิดจากการนำกำไรสะสมจากปีก่อนหน้ามาบวกกับกำไรสุทธิในรอบบัญชีปัจจุบัน และนำไปหักออกจากเงินปันผลที่จ่ายให้กับนักลงทุน (หากมี) ก็จะได้เป็นกำไรสะสมที่แสดงอยู่ในบรรทัดหนึ่งของส่วนทุนของเจ้ากิจการในบัญชีงบดุล(Balance Sheet)

4. ส่วนทุนของเจ้ากิจการ = ทุนที่ชำระแล้ว + กำไรสะสมปลายปี

ส่วนทุนของเจ้ากิจการ เป็นรายงานข้อมูลทางบัญชีส่วนสุดท้ายของงบดุล(Balance Sheet) ซึ่งแสดงการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหรือลดลงของส่วนทุนที่ชำระแล้วของกิจการ(ทั้งเงินทุนของเจ้าของกิจการและมูลค่าหุ้นในรูปแบบต่างๆกรณีบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์) และนำมารวมกับกำไรสะสมปลายปีที่ได้จากการคำนวณในข้อ 3 ก็จะได้เป็นส่วนทุนของเจ้าของกิจการ

ซึ่งหากนำไปเปรียบเทียบกับหนี้สินตามหลักสมการบัญชี : สินทรัพย์ = หนี้สิน + ส่วนทุนของเจ้ากิจการ ก็สามารถพิจารณาได้ว่าสินทรัพย์ของกิจการที่เกิดขึ้นมาจากส่วนของหนี้สินหรือส่วนทุน ซึ่งส่งผลต่อสภาพคล่องของกิจการ

5. ค่าเสื่อมราคาแบบตรง = (มูลค่าสินทรัพย์ – ค่าซาก) / จำนวนปีที่ใช้งาน

เมื่อกิจการนำเงินทุนมาลงทุนในรูปของ สินทรัพย์ระยะยาว เช่น เครื่องจักร สินทรัพย์ดังกล่าวจะต้องถูกคิดค่าเสื่อม ตามหลักการทางบัญชีด้วยสมมติฐานที่ว่า สินทรัพย์จะเสื่อมสภาพไปตามระยะเวลามากกว่าการใช้งาน และการเสื่อมสภาพนั้นจะเป็นไปในอัตราที่เท่ากันทุกปี

ดังนั้น วิธีการคิดค่าเสื่อมที่ง่ายที่สุดคือการคิดแบบตรง โดยใช้มูลสินทรัพย์หักออกจากราคาขายเมื่อสิ้นสุดการใช้งาน (ราคาซาก) หารด้วยอายุที่คาดว่าจะใช้งาน ก็จะได้ค่าเสื่อมราคา / ปี นำไปคำนวณเป็นส่วนหนึ่งของค่าใช้จ่ายที่แสดงในงบกำไร/ขาดทุน(Income statement)

จากสูตรบัญชีทั้งหมดนี้ จะเห็นได้ว่าข้อมูลทางบัญชีที่ปรากฏในงบการเงินสามารถอ่าน และนำไปวิเคราะห์ได้ง่ายหากเราทราบถึงลำดับที่มาของตัวเลข ดังนั้นการมีพื้นฐานความรู้เกี่ยวกับสูตรบัญชี จึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับบุคคลทุกกลุ่มที่ต้องการใช้ประโยชน์จากงบการเงิน

สินทรัพย์ = หนี้สิน + ส่วนของเจ้าของ

หนี้สิน = สินทรัพย์ – ส่วนของเจ้าของ

วัสดุสำนักงานใช้ไป = วัสดุสำนักงานในบัญชีก่อนปรับปรุง – วัสดุสำนักงานคงเหลือปลายงวด

ขายสุทธิ = ขาย – รับคืนสินค้า – ส่วนลดจ่าย

ซื้อสุทธิ = ซื้อ + ค่าขนส่งเข้า – ส่งคืนสินค้า – ส่วนลดรับ

ต้นทุนขาย = สินค้าคงเหลือต้นงวด + ซื้อสุทธิ – สินค้าคงเหลือปลายงวด

กำไรขั้นต้น = ขายสุทธิ – ต้นทุนขาย

กำไรสะสมปลายงวด = กำไรสะสมต้นงวด + กำไรสุทธิ – เงินปันผลจ่าย

ส่วนของผู้ถือหุ้น = ทุนหุ้นสามัญ + กำไรสะสมปลายงวด

ค่าใช้จ่ายรวม = รายได้รวม – กำไรสุทธิ

กำไรสุทธิ = รายได้รวม – ค่าใช้จ่ายรวม

สินค้าที่มีเพื่อขาย = สินค้าคงเหลือต้นงวด + ซื้อสุทธิ

กำไรสะสมปลายปี = กำไรสะสมต้นปี + กำไรสุทธิ – เงินปันผลจ่าย

ส่วนของผู้ถือหุ้น = ทุนหุ้นสามัญ + กำไรสะสมปลายปี

ทุนต้นปี = สินทรัพย์ต้นปี – หนี้สินต้นปี

ทุนปลายปี = สินทรัพย์ปลายปี – หนี้สินปลายปี


สามารถอ่านบทความน่าสนใจอื่นๆได้ ที่นี่ คลิ๊ก!!

บทความโดย : สูตรบัญชีสำคัญที่คุณควรรู้

 517
ผู้เข้าชม

บทความที่เกี่ยวข้อง

งบเปล่า คืองบการเงินของธุรกิจที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล แต่ไม่ได้ดำเนินกิจการ ไม่มีรายได้และค่าใช้จ่ายใดๆ ไม่มีการซื้อขาย ซึ่งถ้าตลอดปีงบการเงินไม่มีการเคลื่อนไหวเลย ผู้ประกอบการก็ยังต้องมีหน้าที่ปิดงบการเงินส่งกรมพัฒนาธุรกิจการค้าและกรมสรรพากรประจำทุกปี หรือเรียกว่าการปิดงบเปล่าส่ง
ตามมาตรา 12 แห่งประมวลรัษฎากร หากบุคคลใดมีภาษีอากรค้าง กรมสรรพากรสามารถยึดหรืออายัดทรัพย์และขายทอดตลาดได้เลยโดยยังไม่ต้องฟ้องต่อศาลก่อนก็ได้  และระยะเวลาที่มีอํานาจทําได้ก็เป็นเวลานานถึง 10 ปี
กิจการขนาดเล็กมักมีข้อจำกัดเรื่องเงินทุนหมุนเวียนรวมทั้งกำลังคน การจัดวางพนักงานในหน้าที่ต่างๆจึงไม่ค่อยมีการแบ่งแยกหน้าที่ พนักงานหนึ่งคนต้องรับผิดชอบงานหลายอย่างและอย่าได้หวังว่าจะมีแผนกต่างๆเหมือนองค์กรขนาดใหญ่
เจ้าของธุรกิจทั้งในนามบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล มักนิยมทำการตลาดผ่านโซเชียล เนื่องจากสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายจำนวนมากและรวดเร็ว แต่เจ้าของธุรกิจอาจจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับรายจ่ายตรงนี้มากเท่าไหร่
e Invoice และ e Tax invoice ถือว่าเป็นสองคำที่หลาย ๆ คนคุ้นหู วันนี้เราจะมาเจาะข้อสงสัยว่าสองคำนี้คืออะไร มีความหมายว่าอย่างไร และใช้ในสถานการณ์ใดบ้าง 
นอกจากใบเสร็จรับเงิน หรือบิลเงินสด ที่ใช้เป็นหลักฐานว่าได้จ่ายเงินให้กับผู้ขายแล้วนั้น ยังมีเอกสารอื่นที่ใช้ได้ก็คือ ใบสำคัญรับเงินและใบรับรองแทนใบเสร็จรับเงินนั่นเอง

สร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปฟรี ร้านค้าออนไลน์