ภาษีมูลค่าเพิ่มมีความสำคัญอย่างไร กับ SMEs ทำไมถึงต้องทำ ?

ภาษีมูลค่าเพิ่มมีความสำคัญอย่างไร กับ SMEs ทำไมถึงต้องทำ ?

ผู้ประกอบการธุรกิจ SMEs การที่จะประสบความสำเร็จนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และก็ไม่ใช่เรื่องยาก วันนี้มีเรื่องของการจดภาษีมูลค่าเพิ่ม VAT มาให้ทำความเข้าใจกัน ว่าทำไมธุรกิจของท่านนั้นถึงต้องจัดการให้เข้าสู่ระบบภาษี ต้องเตรียมเอกสารเยอะแค่ไหน ดูเป็นเรื่องน่าปวดหัวอยู่ไม่น้อย แต่ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งก้าวแห่งการเติบโตในธุรกิจที่จะขึ้นในภายภาคหน้า สำหรับท่านที่ยังไม่เข้าใจ “ภาษี” แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ตราบใดที่ทำตามขั้นตอนก็สบายมากๆ



ภาษีมูลค่าเพิ่ม คืออะไร

ภาษีประเภทหนึ่งที่เรียกเก็บจากผู้ใช้สินค้าหรือบริการโดยใช้ราคาสินค้าหรือบริการนั้นเป็นฐานการคิดภาษี ซึ่งจะทำให้ผู้เสียภาษีจะเสียภาษีตามมูลค่าที่เพิ่มขึ้นจากแต่ละขั้นตอน ปัจจุบันภาษีมูลค่าเพิ่มจัดเก็บในอัตราร้อยละ 7 สำหรับสินค้าและบริการที่ถูกใช้ภายในประเทศ ตัวอย่างเช่น เราซื้อสินค้าราคา 100 บาท มี VAT อีก 7 บาท รวมเป็นเงินทั้งหมด 107 บาทที่ผู้บริโภคจะต้องชำระ

ต้องเริ่มจดภาษีมูลค่าเพิ่มเมื่อไหร่

• ให้ยื่นคำขอจดทะเบียน ภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.01) ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ รายรับเกิน

• หากผู้ประกอบการนั้นมีรายรับจากการให้บริการ หรือ ขายสินค้า เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี

ธุรกิจอยู่ในรายการที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่?

หากมีรายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี แต่ไม่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ในบางธุรกิจที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องจดภาษีมูลค่าเพิ่ม เช่น การขายสินค้าทางการเกษตร ผลไม้ ผัก การขายเนื้อสัตว์ต่างๆ การขายอาหารสัตว์ ขายปุ๋ย การขายสลากกินแบ่งของรัฐบาล สลากออมสินของรัฐบาล สลากบำรุงสภากาชาดไทย การให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ และ อื่นๆ อีกมากมายสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ (https://www.rd.go.th/5206.html)

จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม จดที่ไหนอย่างไร

การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มต้องใช้แบบคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งสามารถยื่นแบบได้ผ่าน 2 ช่องทาง คือ

• ยื่นแบบคำขอด้วยกระดาษ ณ หน่วยจดทะเบียนที่ตั้งสถานประกอบการ

• ยื่นแบบคำขอผ่านทางอินเทอร์เน็ตที่ www.rd.go.th

ทำไม SMEs ควรจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ?

• สร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจมากขึ้น

สร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจมากขึ้น ลูกค้าได้รับความมั่นใจจากการได้รับการตรวจสอบจากสรรพากรเรียบร้อยแล้วว่าการดำเนินการธุรกิจจริงๆ เป็นการสร้างเครดิตให้กับธุรกิจอีกช่องทางหนึ่ง

• ลูกค้าต้องการใบกำกับภาษีในการซื้อสินค้า

ในบางครั้งผู้ประกอบการทำธุรกิจกับคู่ค้ารายใหญ่แน่นอนว่าส่วนมาก ต้องอยากให้ธุรกิจของเรามีการจด VAT ด้วยเช่นกัน
เพราะคู่ค้าก็ต้องการลดภาระภาษีที่ต้องจ่ายของธุรกิจของเขาเช่นกัน

• VAT สามารถขอคืนได้

หากธุรกิจของผู้ประกอบการมีการซื้อวัตถุดิบ หรือสินค้าต่างๆ ที่มีการค่าใช้จ่ายที่มีการจดภาษีมูลค่าเพิ่ม และเรียกเก็บเงินในส่วนนั้นจากผู้ประกอบการ ก็ควรจะเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มด้วยเช่นกัน สิ่งนี้ก็จะลดต้นทุนในด้านวัตถุดิบถึง 7 % ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ขายเรียกเก็บได้

ข้อควรทราบ สำหรับ ‘ภาษีซื้อต้องห้าม’

กฎหมายไม่อนุญาตให้นำภาษีซื้อบางรายการมาหักออกจากภาษีขายในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มหรือนำมาขอคืนภาษี คือ

1. ภาษีซื้อที่ไม่มีหลักฐานใบกำกับภาษี

2. ภาษีซื้อตามใบกำกับภาษีอย่างย่อ

3. ภาษีซื้อที่เกิดจากรายจ่ายเพื่อการรับรอง

4. ภาษีซื้อตามใบกำกับภาษีที่ออกโดยผู้ไม่มีสิทธิ์ออกใบกำกับภาษี

5. ภาษีซื้อตามใบกำกับภาษีปลอม

6. ภาษีซื้อที่เกิดจากการซื้อทรัพย์สินเพื่อใช้หรือจะใช้ในกิจการประเภทที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม เช่น กิจการขนส่งสินค้า สถานพยาบาล

หากไม่จด VAT จะเกิดอะไรขึ้น ?

กรณีที่ธุรกิจ มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี แต่ยังไม่อยากจด จะมีผลดังนี้

1. ไม่สามารถออกใบกำกับภาษีได้เนื่องจากยังไม่ได้เป็นผู้ประกอบการที่จด VAT

2. ไม่สามารถเรียกเก็บ VAT จากผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการได้

3. ต้องเสียเบี้ยปรับ 2 เท่าของเงินภาษีที่ต้องเสียในเดือนภาษีตลอด หรือเป็นเงิน 1,000 บาทต่อเดือนภาษีแล้วแต่อย่างไหนจะมากกว่ากัน

4. ต้นทุนสินค้าเพิ่ม เพราะไม่สามารถนำภาษีซื้อไปหักภาษีขายได้

เรื่อง VAT เรื่องใกล้ตัวสำหรับเจ้าของธุรกิจ ผู้ประกอบการดูแล้วไม่ใช่เรื่องยากจนเกินไป หากท่านมีข้อสงสัยตรงไหนสามารถปรึกษาได้ที่ https://www.rd.go.th/

Cr : https://wdev.smebank.co.th/
 262
ผู้เข้าชม

บทความที่เกี่ยวข้อง

ปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงสำหรับการรับรู้รายได้สำหรับมาตรฐานการบัญชี ตามที่สภาวิชาชีพบัญชีได้ออกประกาศสภาวิชาชีพบัญชีที่ 6/2561 เรื่อง มาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับที่ 15 เรื่อง รายได้จากสัญญาที่ทำกับลูกค้า ซึ่งมีการบังคับใช้มาระยะหนึ่งแล้วตั้งแต่ต้นปี 2562 ที่ผ่านมา
เมื่อกล่าวถึงการเช่าทรัพย์หรือสัญญาเช่าทรัพย์แล้ว ท่านผู้อ่านหลายท่านที่คลุกคลีอยู่กับวงการภาษีอากรคงจะคุ้นเคยกันเป็นประเด็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับภาษีอากรอย่างดีทั้งนี้ ก็เนื่องมาจากประเด็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับภาษีอากรนั้นมีหลากหลายมากมายจนอาจกล่าวได้ว่าจำกันไม่ไหวเลยทีเดียว อย่างไรก็ดีไม่ว่าประเด็นปัญหาดังกล่าวกรมสรรพากรจะได้มีการวางแนววินิจฉัยไว้แล้วเพียงใดก็ตาม แต่ก็พบว่าผู้ที่เกี่ยวข้องก็ยังคงประสบกับปัญหาต่างๆ กันอยู่ไม่น้อย อาจเนื่องมาจากยังขาดความรู้ความเข้าใจในทางปฏิบัติเกี่ยวกับเอกเทศสัญญาเกี่ยวกับเช่าทรัพย์ตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรืออาจมีความเข้าใจในประเด็นปัญหาภาษีอากรที่คลาดเคลื่อนไปรวมทั้งในทางปฏิบัติมีการใช้คำว่า “เช่า” ให้ครอบคลุมไปถึงธุรกรรมอื่นที่ไม่ใช่ “เช่า” ตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เช่น การเช่าพระเครื่อง การเช่าชั่วโมงอินเทอร์เน็ต การเช่าพื้นที่เพื่อแสดงสินค้าในงานแสดงสินค้าต่างๆ เป็นผลทำให้ความเข้าใจในเรื่องของภาษีอากรเกี่ยวกับเอกเทศสัญญาที่เรียกว่า “เช่าทรัพย์” นั้นคลาดเคลื่อนไปด้วย ผู้เขียนจึงได้รวบรวมเอาเรื่องราวอันเกี่ยวกับการเช่าทรัพย์ ทั้งในด้านความเป็นเอกเทศสัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และในด้านของภาษีอากร ไม่ว่าจะเป็นกรณีการมีรายได้จากการให้เช่าทรัพย์ว่าจะต้องมีภาระภาษีอะไรบ้าง เช่น จะต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคลอย่างไร ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่ และสัญญาเช้าที่ทำกันนั้นต้องติดอากรแสตมป์อย่างไรหรือไม่ รวมทั้งกรณีที่ผู้เช่าได้จ่ายค่าเช่าไปในบางกรณีว่าจะลงเป็นรายจ่ายทางภาษี หรือนำภาษีมูลค่าเพิ่มที่เกิดขึ้น (ถ้ามี) ไปใช้ได้หรือไม่อย่างไร
มาดูในข้อแตกต่างของการจดทะเบียนที่หลายคนสงสัยว่า จดแบบบุคคลธรรมดา กับ จดแบบนิติบุคคล ต่างกันอย่างไร หรือ จะมีข้อดี ข้อเสียอย่างไร ทำความเข้าใจก่อนเริ่มธุรกิจ "ร้านอาหาร" โดยเฉพาะถ้าเปิดเป็นร้านอาหารแบบจริงจัง หรือมีหุ้นส่วนร่วมด้วย จะเสียภาษีรูปแบบบุคคลธรรมได้หรือไม่ หรือควรจดทะเบียนบริษัท แต่ละแบบต้องทำอย่างไร ? แล้วแบบไหนใช้ประโยชน์ทางภาษีได้มากกว่ากัน
การจะเข้าสู่วงจรธุรกิจเพื่อเป็นผู้ประกอบการมืออาชีพ ประเด็นแรกๆ ที่ควรให้ความสำคัญ คือจะทำธุรกิจแบบ “บุคคลธรรมดา” หรือ “นิติบุคคล” เพราะ 2 รูปแบบนี้มีความต่างกันทั้งในเรื่องข้อดี ข้อเสีย รวมถึงการจัดทำบัญชี และภาษี ที่ต้องดำเนินการให้ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งจะตัดสินใจเลือกดำเนินธุรกิจในรูปแบบใด ควรศึกษาข้อมูลเหล่านี้ให้ดีก่อน
หลายคนอาจมีคำถามว่า บุคคลธรรมดาผู้มีเงินได้ก็ยื่นภาษีทุกปีอยู่แล้วทำไมต้องยื่นเสียภาษีครึ่งปีอีก? ซึ่งก็มีแค่บุคคลที่มีเงินได้บางประเภทเท่านั้นที่เข้าข่ายต้องเสียภาษีครึ่งปี โดยการเสียภาษีครึ่งปีนี้ถือเป็นการบรรเทาภาระภาษี เพราะหากไม่มีการยื่นแบบแสดงรายการ ภ.ง.ด. 94 หรือ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาครึ่งปี จะต้องยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและชำระภาษีเป็นเงินจำนวนมาก โดยภาษีเงินได้ครึ่งปีที่จ่ายไป สามารถนำไปใช้หักออกจากภาษีประจำปีที่คำนวณได้ ตัวอย่างเช่น นายเอได้ยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาครึ่งปีไปแล้วจำนวน 6,000 บาท พอสิ้นปีนายเอคำนวณภาษีที่ต้องจ่ายเป็นจำนวน 9,000 บาท นายเอก็จ่ายภาษีเพิ่มแค่ 3,000 บาทเท่านั้น  (9,000-6,000 บาท)

สร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปฟรี ร้านค้าออนไลน์