วงจรบัญชี (Accounting Cycle)

วงจรบัญชี (Accounting Cycle)


วงจรบัญชี (Accounting Cycle)
คือกระบวนการทั้งหมดที่ใช้ในการบันทึกและจัดทำรายงานทางการเงินของธุรกิจในรอบระยะเวลาหนึ่ง (มักเป็นรายเดือนหรือรายปี) เพื่อให้ข้อมูลทางการเงินถูกต้อง ครบถ้วน และตรวจสอบได้

ขั้นตอนของวงจรบัญชี (Accounting Cycle)

1. วิเคราะห์รายการค้า (Transaction Analysis)

  • พิจารณาว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลต่อบัญชีใดบ้าง

  • ตรวจสอบเอกสารประกอบ เช่น ใบเสร็จ ใบแจ้งหนี้

2. บันทึกรายการในสมุดรายวัน (Journal Entry)

  • บันทึกรายการเป็นบัญชีคู่ (เดบิต = เครดิต)

  • บันทึกเรียงตามลำดับวันที่ใน สมุดรายวันทั่วไป

3. ผ่านรายการไปบัญชีแยกประเภท (Posting to Ledger)

4. จัดทำงบทดลองก่อนปรับปรุง (Unadjusted Trial Balance)

  • รวมยอดจากบัญชีแยกประเภทเพื่อตรวจสอบความถูกต้อง (เดบิต = เครดิต)

5. ปรับปรุงรายการ (Adjusting Entries)

  • ปรับปรุงรายการที่ยังไม่ครบถ้วน เช่น ค่าใช้จ่ายค้างจ่าย, รายได้ค้างรับ

  • เพื่อให้ตรงกับหลักเกณฑ์คงค้าง (Accrual Basis)

6. จัดทำงบทดลองหลังปรับปรุง (Adjusted Trial Balance)

  • ตรวจสอบยอดรวมอีกครั้งหลังปรับปรุงรายการ

7. จัดทำงบการเงิน (Financial Statements)

  • งบกำไรขาดทุน

  • งบแสดงฐานะการเงิน (งบดุล)

  • งบกระแสเงินสด

  • งบแสดงการเปลี่ยนแปลงส่วนของเจ้าของ

8. ปิดบัญชี (Closing Entries)

  • ปิดยอดบัญชีรายได้-ค่าใช้จ่ายไปยังบัญชีทุน

  • เพื่อเริ่มต้นรอบบัญชีใหม่

9. จัดทำงบทดลองหลังปิดบัญชี (Post-Closing Trial Balance)

  • ตรวจสอบความถูกต้องของยอดคงเหลือในบัญชีถาวร เช่น สินทรัพย์ หนี้สิน ทุน
ประโยชน์ของการเข้าใจวงจรบัญชี
  • ทำให้การจัดทำบัญชีเป็นระบบและตรวจสอบง่าย

  • ช่วยเตรียมความพร้อมสำหรับการสอบหรือปฏิบัติงานจริง

  • สื่อสารกับผู้สอบบัญชีหรือผู้บริหารได้อย่างเข้าใจตรงกัน

 9
ผู้เข้าชม

บทความที่เกี่ยวข้อง

ในอดีตที่ผ่านมา ความเจริญก้าวหน้าทางด้านวัตถุและเทคโนโลยียังไม่มากนัก จึงทำให้การทำงานส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับแรงงานมนุษย์ ต่อมามนุษย์ได้มีการพัฒนาก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างมากมาย และเกิดความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสมัยใหม่ นอกจากนั้นยังเกิดการขยายตัวขององค์กรต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน...
แรงจูงใจหลักในการที่จะทำให้บริษัทหนึ่งจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลก็คงจะหนีไม่พ้นสิทธิที่บริษัทเสียภาษีบนฐานของผลกำไรของบริษัท กล่าวคือบริษัทสามารถหักรายจ่ายต่างๆออกจากรายได้ได้ตามจริง และเงินได้ของบริษัทที่จะเสียภาษีก็จะเป็นแค่ส่วนของผลกำไรของบริษัทเท่านั้น ไม่ใช่ต้องเสียจากรายได้หรือเหมารายจ่ายได้สูงสุดเพียง 60% เช่นที่ต้องเสียในระบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
การเฉลี่ยภาษีซื้อ คือ การปันส่วนภาษีซื้อของกิจการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มที่มีรายได้จากธุรกิจ VAT และ NON VAT ซึ่งภาษีซื้อที่เกิดขึ้นมาจากการได้สินค้าหรือบริการ มาใช้ในกิจการที่ไม่สามารถจำแนกได้ว่าใช้ในธุรกิจ VAT หรือ NON VAT
นักบัญชีเป็นวิชาชีพเฉพาะทางที่เกี่ยวข้องกับภาคธุรกิจแบบแยกออกจากกันไม่ได้ ธุรกิจที่เป็นนิติบุคคล เช่น บริษัทจำกัด ห้างหุ้นส่วนจำกัด จำเป็นต้องมี “ผู้ทำบัญชี”ที่รับผิดชอบในการจัดทำบัญชีของธุรกิจ เพื่อให้มีการแสดงผลการดำเนินงาน ฐานะการเงิน หรือการเปลี่ยนแปลงฐานะการเงินของธุรกิจที่เป็นอยู่ตามความเป็นจริงและตามมาตรฐานการบัญชี พระราชบัญญัติการบัญชีจึงได้มีการกำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบของผู้ทำบัญชีไว้ชัดเจน โดยมีการแบ่งแยกหน้าที่และความรับผิดชอบกับผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชี และผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีหรือธุรกิจ ต้องจัดให้มีผู้ทำบัญชีซึ่งเป็นผู้มีคุณสมบัติตามที่อธิบดีกำหนด ดังนี้
เงินได้มาตรา 40(1) หัก ณ ที่จ่ายตามอัตราก้าวหน้า คือ การประมาณรายได้พนักงานทั้งปี แล้วหักด้วยค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนเพื่อหาเงินได้สุทธินำส่งนำไปคำนวณภาษี นำเงินได้สุทธิมาคูณอัตราภาษีตามอัตราก้าวหน้า (0%-35%) เมื่อได้ยอดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่จะต้องเสีย จึงนำมาหารเฉลี่ยตามงวดที่จ่าย

สร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปฟรี ร้านค้าออนไลน์