ความแตกต่างระหว่าง ภ.ง.ด.50 และ ภ.ง.ด.51

ความแตกต่างระหว่าง ภ.ง.ด.50 และ ภ.ง.ด.51

ภ.ง.ด.50 เป็นแบบภาษีที่เอาไว้ยื่นภาษีเงินได้นิติบุคคลตอนปลายปี ส่วน ภ.ง.ด.51 เป็นแบบภาษีที่เอาไว้ยื่นภาษีเงินได้นิติบุคคลตอนกลางปี

ภ.ง.ด 50 คืออะไร?

ตามกฎหมายแล้วนิติบุคคล (เช่น ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด บริษัทมหาชนจำกัด) มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้เงินนิติบุคคล ซึ่งตามกฎหมายกำหนดให้นิติบุคคลเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลปีละ 2 ครั้งคือตอนกลางปี และตอนปลายปี

สำหรับการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตอนปลายปีนั้นจะต้องใช้แบบ ภ.ง.ด. 50 เป็นแบบที่ผู้ประกอบการต้องกรอก เซ็นรับรองแบบโดยกรรมการหรือฝ่ายบัญชี ผู้สอบบัญชี และต้องแนบงบการเงินที่มีผู้สอบบัญชีเซ็นรับรอง เพื่อนำส่งกรมสรรพากร โดยตามกฎหมายนิติบุคคลมีหน้าที่นำส่งแบบดังกล่าวภายใน 150 วัน ยกตัวอย่างเช่น หาก บริษัท Z จำกัด ปิดงบประจำปีวันที่ 31 ธันวาคม บริษัท Z จำกัด ก็มีหน้าที่ต้องนำส่งแบบ ภ.ง.ด.50 ภายในวันที่ 30 พฤษภาคม ของปีถัดไป (150 วันนับจากวันที่ 31 ธันวาคม)

หลักการในการกรอกแบบ ภ.ง.ด.50 คือผู้ประกอบการ/ผู้ทำบัญชี จะต้องหากำไรทางภาษีมาคูณกับอัตราภาษีและนำมากรอกในแบบ ภ.ง.ด.50

ภาษีเงินได้นิติบุคคล = กำไรทางภาษี x อัตราภาษี  

วิธีการกรอกแบบ ภ.ง.ด.50

สำหรับตัวอย่างแบบ ภ.ง.ด.50 และวิธีการในการกรอกแบบ ทุกท่านสามารถดูรายละเอียดจากกรมสรรพากรตามลิงค์นี้ได้เลยครับ : วิธีการกรอกแบบ ภ.ง.ด.50

ภ.ง.ด. 51 คืออะไร?

ตามที่ผมได้กล่าวไปแล้วว่าตัวภาษีเงินได้นิติบุคคลนั้นจะต้องยื่น 2 ครั้งนั่นคือกลางปีและปลายปี ภ.ง.ด.51 เป็นแบบภาษีที่เอาไว้ยื่นตอนกลางปี ซึ่งตัวแบบดังกล่าวจะต้องเซ็นรับรองแบบโดยกรรมการหรือฝ่ายบัญชี เพื่อนำส่งกรมสรรพากร ตามกฎหมายนิติบุคคลมีหน้าที่นำส่งแบบดังกล่าวภายใน 2 เดือนนับจากวันที่กลางปี ยกตัวอย่างเช่น หาก บริษัท Y จำกัด ปิดงบประจำปีวันที่ 31 ธันวาคม กลางปีคือวันที่ 30 มิถุนายน ดังนั้นบริษัท Y จำกัด ก็มีหน้าที่ต้องนำส่งแบบ ภ.ง.ด.51 ภายในเดือน สิงหาคม ของทุกปี (2 เดือนนับจากเดือนมิถุนายน)

วิธีการกรอกแบบ ภ.ง.ด. 51

สำหรับการกรอกแบบ ภ.ง.ด.51 จะมีรายละเอียดเพิ่มเติมที่ควรทราบคือ การคำนวณภาษีกลางปีจะมี 3 รูปแบบให้เลือกคือ

  1. กรณีเสียภาษีจากกึ่งหนึ่งของประมาณการกำไรสุทธิ
  2. กรณีเสียภาษีจากกำไรสุทธิของรอบระยะเวลาบัญชีหกเดือนแรก
  3. กรณีเสียภาษีจากยอดรายรับก่อนหักรายจ่าย

สำหรับกรณีแรก : กรณีเสียภาษีจากกึ่งหนึ่งของประมาณการกำไรสุทธิ จะเอาไว้ใช้สำหรับนิติบุคคลทั่วๆไปที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ไม่ได้เป็นธนาคาร ไม่ได้เป็นธุรกิจหลักทรัพย์ หรือไม่ได้เป็นธุรกิจประกันภัย โดยให้ประมาณการกำไรสุทธิประจำปี แล้วเอามาเสียภาษีครึ่งหนึ่ง

สำหรับเหตุผลที่จะใช้ประมาณการกำไร เนื่องจากว่าบริษัทกลุ่มนี้ โดยมากแล้วจะปิดบัญชีกันปีละหนึ่งครั้งคือตอนสิ้นปีทีเดียว ดังนั้นจึงยังไม่มีตัวเลขกำไรที่แท้จริงในรอบครึ่งปีที่ผ่านมา จึงต้องเสียภาษีจากประมาณการกำไรสุทธิประจำปี แล้วเอามาเสียภาษีครึ่งหนึ่งไปก่อน

สำหรับกรณีที่สอง : กรณีเสียภาษีจากกำไรสุทธิของรอบระยะเวลาบัญชีหกเดือนแรก บริษัทกลุ่มนี้ เช่น บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ธนาคาร ธุรกิจหลักทรัพย์ หรือประกันภัย ให้เสียภาษีจากกำไรที่เกิดขึ้นจริงในช่วงครึ่งปีแรก

สำหรับเหตุผลที่จะใช้กำไรที่เกิดขึ้นจริง เนื่องจากว่าบริษัทกลุ่มนี้ โดยมากแล้วจะปิดบัญชีกันทุกๆเดือนและจะต้องมีผู้สอบบัญชีมาสอบทาน/ตรวจสอบงบการเงินอย่างน้อยไตรมาศละครั้ง ดังนั้นบริษัทกลุ่มนี้จึงมีตัวเลขกำไรที่แท้จริงในรอบครึ่งปีที่ผ่านมา จึงต้องเสียภาษีจากกำไรที่เกิดขึ้นจริงในช่วงครึ่งปีแรกได้

สำหรับกรณีที่สาม : กรณีเสียภาษีจากยอดรายรับก่อนหักรายจ่าย สำหรับผู้เสียภาษีในกรณีนี้จะมีอยู่ 2 ประเภทหลักๆดังนี้

  1. กิจการขนส่งระหว่างประเทศของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลต่างประเทศ
  2. มูลนิธิหรือสมาคมที่ประกอบกิจการแล้วมีรายได้

ฐานภาษีของนิติบุคคล กลุ่มนี้จะเสียภาษีจากรายรับก่อนหักรายจ่ายครับ และในการยื่นแบบเพื่อเสียภาษีตอนปลายปี หากเป็นกิจการขนส่งระหว่างประเทศของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลต่างประเทศจะใช้แบบ ภ.ง.ด.52 หากเป็น มูลนิธิหรือสมาคมที่ประกอบกิจการแล้วมีรายได้ จะใช้แบบ ภ.ง.ด.55 โดยจะต้องนำส่งภาษีภายใน 150 วันนับจากวันที่สิ้นรอบบัญชีครับ

สำหรับตัวอย่างแบบ ภภ.ง.ด.51 และวิธีการในการกรอกแบบ ทุกท่านสามารถดูรายละเอียดจากกรมสรรพากรตามลิงค์นี้ได้เลยครับ : วิธีการกรอกแบบ ภ.ง.ด.51

สรุป

สำหรับท่านที่ยังสงสัยว่า แบบ ภ.ง.ด.50 และ แบบ ภ.ง.ด.51 คืออะไร? สามารถสรุปง่ายๆได้แบบนี้ครับว่า ภ.ง.ด.50 เป็นแบบที่เอาไว้ใช้ยื่นภาษีเงินได้นิติบุคคลตอนปลายปี ส่วนแบบ ภ.ง.ด.51 เป็นแบบที่เอาไว้ใช้ยื่นภาษีเงินได้นิติบุคคลตอนกลางปี


สามารถอ่านบทความน่าสนใจอื่นๆได้ ที่นี่ คลิ๊ก!!



บทความโดย : tanateauditor.com

 13040
ผู้เข้าชม

บทความที่เกี่ยวข้อง

ค่าเบี้ยประกันสามารถนำมาเป็นค่าลดหย่อน สำหรับยื่นแบบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ แต่ไม่ใช่ว่าเบี้ยประกันจากกรมธรรม์ทุกประเภทจะนำมาขอใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้เสมอไป จะต้องเป็นกรมธรรม์ตรงตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด สำหรับผู้เสียที่ต้องการใช้สิทธิในส่วนนี้ ต้องทำความเข้าใจถึงค่าเบื้ยประกันที่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ โดยแยกตามประเภทของเบี้ยประกันดังนี้
ภ.ง.ด. 50 คือ แบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคลใช้สำหรับนิติบุคคลที่จดทะเบียนจัดตั้งตามกฎหมายประเทศไทย หรือ ต่างประเทศ โดยการยื่น ภ.ง.ด. 50 จำต้องยื่นภายใน 150 (ภายในวันที่ 31 พฤษภาคม) วันนับตั้งแต่วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี โดยจะต้องยื่นทุกปี ไม่ว่าจะมีรายได้หรือไม่มีรายได้
ใบเสร็จรับเงิน จริงๆ แล้วคือเอกสารที่ใช้ในการรับเงินจากผู้ขายหรือผู้ให้เช่าออกใบเสร็จนี้ให้กับผู้ซื้อ เพื่อเป็นเอกสารยืนยันว่าผู้ขายหรือผู้ให้เช่านั้นได้รับเงินแล้ว การออกใบเสร็จรับเงินเป็นสิ่งที่สำคัญและเป็นสิ่งที่ต้องทำเพราะตามกฎหมายแล้วกำหนดไว้ว่าให้ผู้รับเงิน ต้องออกใบเสร็จให้กับผู้ขายทันที เมื่อมีการรับเงิน โดยไม่เว้นแต่กรณีที่ผู้ซื้อจะขอหรือไม่ขอก็แล้วแต่ แต่ถ้าหากเป็นธุรกิจที่มีขนาดเล็ก อาจจะไม่ต้องออกใบเสร็จรับเงินให้กับผู้ซื้อทุกครั้ง แต่ทางกรมสรรพากรได้กำหนดไว้ว่าต้องออกใบเสร็จรับเงินต่อเมื่อมีการขายสินค้าที่มีจำนวนเงินเกิน 100 บาท/ต่อครั้ง
สำหรับ "บริษัทจำกัด" ที่มีวันสิ้นรอบปีบัญชี คือ 31 ธันวาคม 2566 จะต้องปิดงบการเงิน ยื่นงบการเงิน และยื่นภาษีบริษัทประจำปี ภายในวันสุดท้ายดังนี้
ก่อนเริ่ม วางแผนภาษี เจ้าของกิจการจำเป็นต้องศึกษาความรู้เรื่องภาษีเสียก่อน เพราะเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการทำบัญชี และการยื่นภาษีแก่สรรพากร  กิจการจะสามารถวางแผนภาษีได้ ก็ต่อเมื่อทราบก่อนว่าต้องยื่นแบบฯ ภาษีใดบ้างภาษีหลักๆ และกำหนดเวลาในการยื่นภาษีแต่ละประเภท มีดังนี้
ค่าใช้จ่ายค้างจ่าย (Accrued Expenses) หมายถึง ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในงวดบัญชีปัจจุบันแล้ว แต่กิจการยังไม่ได้จ่ายเงินจึงยังไม่ได้บัญทึกบัญชี เช่น ค่าแรงงานค้างจ่าย เงินเดือนค้างจ่าย ดอกเบี้ยค้างจ่าย เป็นต้น กิจการจึงจำเป็นต้องปรับปรุงบัญชีโดยเพิ่มค่าใช้จ่ายของงวดบัญชีปัจจุบันแล้วตั้งเป็นหนี้สินไว้

สร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปฟรี ร้านค้าออนไลน์